วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556


สะไน (ภูมิปัญญาชาวบ้าน )
 
 
 

ประวัติความเป็นมาของสะไน สะไนเครื่องดนตรีของชาวเยอ    

สะไน เป็นภาษาเขมรแปลว่า เขาสัตว์ถ้าเป็นเขาควายก็จะเรียก สะไนกะไบสะไนที่เป็นเครื่องเป่าของชาวเยอก็ทำจากเขาสัตว์โดยทำจากเขาควายเหมือนกัน เรียกเป็นภาษาเยอว่าซั้งหรือ ซั้งไนการที่ชาวเยอนิยมนำเขาควายมาทำสะไนเนื่องจากเขาควายมีรูลึกตั้งแต่โคนเขาจนถึงปลายเขาทำให้เจาะรูจากปลายเขาได้ง่าย ส่วนเขาวัวนั้นรูจากโคนเขาถึงปลายเขาไม่ลึกพอจึงไม่นิยม ตามหลักความเชื่อของชาวเยอที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอราศีไศล สะไน เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบพิธีกรรม หรือกิจกรรมที่สำคัญเท่านั้น เช่น พิธีกรรมบวงสรวงศาลพญากะตะศิลา การแข่งขันเรือ และเป็นการเป่าเพื่อบูชาสังข์ (หอยสังข์) ยังไม่นิยมนำมาเป่าเล่นเพื่อผ่อนคลายหรือความบันเทิงใดๆ ตามที่ครูเฒ่าเผ่าเยอได้เล่าติดต่อกันมาว่า สะไนเป็นของศักดิ์สิทธิ์และมีความสำคัญมาก สะไนเป็นเครื่องเป่าที่สืบชื้อสายมาจากสังข์ (ในภาษาเยอเรียก ซั้ง ปรงซั้งแปลว่า เป่าสังข์ลิ้นของสะไนทำจากไม้ไผ่ใช้ยางไม้ติดเข้ากับตัวเขา  ระหว่างปากลำโพงกับปลายเขา การเคารพบูชาสะไนจะเหมือนกับการเคารพบูชาสังข์ เพราะในอดีตชาวเยอเชื่อกันว่า การเป่าสะไนเป็นการเป่าบูชาสังข์ และเมื่อเป่าสะไนแล้ว เงือก นาค ภูตผีปีศาจ จะไม่มาทำร้ายคน พร้อมกันนี้จะทำให้ผีเจ้าป่าเจ้าเขาช่วยดูแลคุ้มครองรักษาชาวบ้านให้อยู่ดีกินดี มีความปลอดภัย ในสมัยก่อนเมื่อชาวเยอมีการเดินทางไกลต้องผ่านป่าเขา ถ้าหากเดินทางไปไม่ถึงที่หมายจำเป็นต้องนอนค้างแรมกลางป่าเขาจะต้องเอาสะไนไปด้วย ถ้ายามค่ำคืนก็จะเอาสะไนออกมาเป่าเพื่อเป็นการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางผีป่าผีเขาให้ช่วยดูแลรักษา ถ้าเป่าสะไนแล้วสัตว์ป่าก็จะไม่กล้ามาทำร้าย ในสังคมวัฒนธรรมที่มีความใกล้เคียงกันเช่น ส่วยและเขมร จะใช้สะไน  เป็นเครื่องเป่าให้สัญญาณเวลาออกไปคล้องช้าง โดยเสียงสะไนที่เป่าแต่ละครั้งหรือแต่ละเสียง  จะมีความหมายเป็นที่รู้จักกันในหมู่คณะ ลักษณะดังกล่าวจึงเหมือนกับเครื่องดนตรีอย่างหนึ่งของชนเผ่า  กะตู  ในเขตพื้นที่แขวงสาละวัน ประเทศลาว  เรียก  ตะโล  เป็นเครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ไผ่แต่ตัดตรงกลางกระบอกไม้ไผ่เพื่อทำลิ้นเวลาเป่าจะดูดเข้าหรือเป่าออกก็ได้ ใช้เวลาออกจับช้างเพื่อบอกสัญญาณให้เพื่อนรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นโดยการเป่าแต่ละครั้งหรือแต่ละแบบก็จะมีความหมายแตกต่างกันไปเช่น เป่าหนึ่งครั้งหมายถึง กำลังเดินหน้า เป่าสองครั้งหมายถึงเรียกมากินข้าว เป่าติดต่อกันหลายๆครั้งโดยไม่หยุดหมายถึงกำลังได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น

การใช้สะไนของชาวส่วย เขมร และการใช้ตะโล ของชาวกะตู อาจกล่าวได้ว่าเป็นรหัสลับ คนที่จะรู้ความหมายของรหัสนี้ได้ก็ต้องเป็นคนในกลุ่มเดียวกันเท่านั้น แต่ในสังควัฒนธรรมเยอไม่มีความเกี่ยวข้องกับช้างโดยตรงเหมือนชาวส่วยกับชาวเขมร การใช้สะไนของชาวเยอจึงเป็นเครื่องเป่าที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในเรื่องของการกำเนิด  สังข์  การเป่าสะไนจึงเป็นการเป่าเพื่อบูชาสังข์เนื่องจากสะไนเป็นเครื่องเป่าที่มีความศักดิ์สิทธิ์เท่ากับสังข์และใช้ลิ้นแบบเดียวกับสังข์ ชาวเยอยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องเป่าว่า ในโลกนี้มีเครื่องเป่าอยู่สามแบบตามความเชื่อของชาวเยอคือ หอยสังข์  มีพระนารายณ์เป็นผู้สร้างถือว่าเป็นเครื่องเป่าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด   รองลงมาคือสังข์นัย (สะไน) เป็นเครื่องเป่าของกลุ่มคนเยอมีความศักดิ์สิทธิ์รองลงมาจากหอยสังข์ เนื่องเป็นเครื่องเป่าที่ทำจากเขาควายแต่ใช้ลิ้นสังข์ สุดท้ายคือแตรสังข์ (แตรเขาสัตว์) เป็นเครื่องเป่าที่ทำจากเขาควายเหมือนกันแต่ไม่ได้ใช้ลิ้นสังข์คือเป่าจากปลายเขามักจะใช้เป็สัญญาณในการสื่อสารในการเดินเรือสินค้า ที่มีน้ำไหลเชี่ยวและสายน้ำมีความคดโค้งจะมีการเป่าแตรสังข์เพื่อไม่ให้เรือชนกัน ชาวเยอมีนิทานพื้นบ้านเกี่ยวกับการกำเนิดสังข์และการกำเนิดสะไนคือเรื่อง นิทานเรื่องพระเจ้าสร้างโลกกับความเป็นมาของสังข์และสะไน 

 ความเชื่อเกี่ยวกับสะไน

          สะไน  เป็นเครื่องดนตรีที่ศักดิ์สิทธิ์ตามหลักความเชื่อของชาวเยอที่อาศัยอยู่เขตพื้นที่อำเภอราษีไศล เนื่องจากมีความเชื่อว่าสะไนมีความเกี่ยวข้องและเกี่ยวโยงกับ  สังข์  ที่เป็นเครื่องเป่าอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู แม้กระทั่งในสังคมไทยก็นับถือว่า สังข์ เป็นของศักดิ์สิทธิ์  เช่น ในพระราชพิธีที่สำคัญจะมีการเป่าสังข์ก่อน เพื่อเป็นการบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเหล่าทวยเทวดาทั้งหลาย ถ้าเป็นงานมงคลระดับชาวบ้านประชาชนทั่วไปก็มีการนำสังข์มาประกอบพิธีเช่น การตั้งศาลพระภูมิ การรดน้ำสังข์คู่แต่งงาน เป็นต้น  เมื่อชาวเยอมีความเชื่อว่าสะไนกับสังข์มีความเกี่ยวข้องกัน จึงมีการเป่าสะไนเพื่อเป็นการบูชาสังข์ นอกจากนี้แล้วยังมีการนำสะไนมาเป่าเพื่อบูชาพระแม่ธรณีและพระแม่คงคาในประเพณีการแข่งเรือ (ส่วงเรือ) หรือเมื่อมีการเดินทางไกลก็จะมีการเป่าสะไนก่อนออกเดินทางเพื่อให้เกิดโชคเดินทางปลอดภัยและได้รับความสำเร็จในการประกอบการต่างๆ โดยเฉพาะถ้าเดินทางกลางป่าก็จะนำสะไนติดตัวไปด้วย  เพราะชาวเยอเชื่อว่าสัตว์ป่าทั้งหลายถ้าได้ยินเสียงสะไนแล้วจะไม่เข้ามาทำร้าย  และถ้าเป่าสะไนจะเป็นการบอกกล่าวให้ทวยเทวดาอารักข์ทั้งหลายมาปกป้องดูแลไม่ให้เกิดอันตรายใด ในสมัยโบราณมีเรื่องจากผู้เฒ่าเผ่าเยอว่า บรรพบุรุษของคนเยอถ้าจำเป็นต้องออกรบทำศึกสงครามกับเมืองไหนจะต้องมีการเป่าสะไนก่อนเพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย โดยเชื่อว่าเสียงของสะไนจะทำให้ได้รับชัยชนะกลับมาหรือถ้าหากแพ้ก็จะสามารถหนีเอาตัวรอดกลับมาได้

          ชาวเยอโบราณมีคำสอนเกี่ยวกับการเป่าสะไนและมีฤดูกาลสำหรับการเป่าสะไนไว้ว่า   ถ้าจะเป่าสะไนต้องเป่าตั้งแต่เดือน    ค้อย (เดือนกรกฎาคมจะเข้าสิงหาคม) จนถึงเดือนอ้ายค้อย  (เดือนธันวาคมจะเข้าเดือนมกราคม) ถ้านอกจากระยะเวลาดังกล่าวห้ามเป่าสะไน เพราะมันจะทำให้  ฝนตก ฟ้าผ่ากลางวันหรือเกิดสิ่งไม่ดีต่างๆขึ้นในหมู่บ้าน แต่ถ้าเป่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าวซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนจะเป็นการเป่าเพื่อบูชาหอยและยังเป็นการป้องกันไม่ให้ฟ้าผ่าด้วย   ความเชื่อดังกล่าวมักจะพบเห็นในสังคมวัฒนธรรมอีสานทั่วๆไป  เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์หากนำมาทำเล่นเพื่อความสนุกสนานโดยไม่รู้จักกาลเทศะย่อมเป็นสิ่งไม่ดี  จึงมีกฎข้อห้ามต่างๆไว้ ฉะนั้นการเป่าสะไน จึงต้องเป่าเฉพาะโอกาสที่สำคัญหรือในยามที่จำเป็นเท่านั้น  จึงแสดงให้เห็นว่าสะไนคือเครื่องเป่าที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ของเล่นที่จะนำมาเป่าเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อความสนุกสนาน  การเป่าในช่วงระยะเวลาตั้งแต่เดือนแปดถึงเดือนอ้ายนั้นมีการให้เหตุผลตามความเชื่อว่า เป็นการเป่าเพื่อบูชาหอย (สังข์) เนื่องจากเป็นช่วงระยะเวลาที่หอยกำลังผสมพันธุ์ถ้าเป่าในช่วงนี้จะทำให้หอยมีการเจริญพันธุ์และขยายพันธุ์ดี และอีกอย่างการเป่าสะไนจะทำให้ฝนตกหากเป่าในช่วงนี้ก็จะเป็นผลดีต่อพืชพันธุ์น้ำท่าอุดมสมบูรณ์แต่ถ้าเป่านอกฤดูกาลจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผลผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะข้าวที่จะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนอ้ายถึงเดือนสาม  และช่วงนี้เป็นช่วงที่หอยจำศีลด้วยจึงห้ามเป่าสะไน เสียงของสะไนยังเป็นเสียงที่ศักดิ์สิทธิ์ปราบผีได้ หากที่ใดมีคำล่ำลือเกี่ยวกับความดุร้ายหรือความเฮี้ยนของผีสางนางไม้ถ้าได้เป่าสะไนบริเวณนั้นจะทำให้ผียอมสยบไม่กล้าอาระวาทหลอกใครอีก

          การเป่าสะไนถือได้ว่าเป็นการสร้างเสียงเพื่อสนองต่อความต้องการของมนุษย์  โดยเสียงที่สร้างขึ้นไม่ได้มีความหมายตามหลักการของทฤษฎีทางดนตรีแต่อย่างใด(ไม่มีระบบโน้ตที่แน่นอน) แต่เป็นเสียงที่สร้างขึ้นตามลักษณะการพูดเป็นทำนองเพลงสนุกๆ เช่น  เอาคักคักเอาคนคักคัก เป็นต้น เสียงการเป่าสะไนเป็นเสียงที่มีความดังเกินตัว (เสียงดังขนาดเล็ก) มนุษย์เมื่อได้พบเจอสิ่งใดที่ดูแล้วหน้าเกรงขาม ย่อมยกย่องให้สิ่งนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนความรู้สึกว่าดี  ปลอดภัย  อุดมสมบูรณ์ แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีปรากฏการณ์ที่สำคัญยืนยันว่ามันจะนำมาซึ่งความสงบ ความยินดีของตนจริง เรียกว่า ภูมิปัญญา  เสียงสะไนจึงเป็นเสียงที่ศักดิ์สิทธิ์  ฟังแล้วดูหน้าเกรงขาม เป็นเครื่องดนตรีชิ้นเล็กๆแต่เสียงนั้นใหญ่เกินตัวมาก

          ปัจจุบันการเป่าสะไนยังคงมีอยู่ที่ศาลพระยากตะศิลาเมืองคงโคก บ้านหลุบโมก ต.เมืองคง อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ และศูนย์วัฒนธรรมชาวเยอโรงเรียนเมืองคง(คงคาวิทยา)โดย นายสมพร  สมสุข

 
ลักษณะของสะไน
 
Image
 
ส่วนประกอบ วัสดุ อุปกรณ์ และการเก็บรักษาสะไน
วัสดุที่ใช้ทำสะไน

1.      เขาควายหรือเขาวัว

2.      ไม้ไผ่ที่เหลาบางๆ เพื่อทำลิ้นสะไน

3.      ขี้สูดเป็นตัวยึดลิ้นสะไนกับตัวสะไน

 วิธีการเก็บรักษา

          ๑.  เก็บสะไนในที่อากาศเย็นหรือมมีแสงแดด หรือที่มีอากาศร้อนเพราะจะทำให้ขี้สูดเสื่อมและเสียงเพี้ยน

          ๒.  ควรเก็บสะไนไว้ในที่ปลอดภัยจากแมลง หรือหลีกแล่งการถูกกระแทก ควรเก็บสะไนไว้โดยการแขวน

          ๓.  ไม่ควรดัดแปลงหรือตกแต่งใด ๆ บริเวณลิ้นสะไนที่มีขี้สูดยึดติดเพราะจะทำให้สะไนชำรุด  ถ้าเป่าแล้วเกิดผิดปกติอย่างไรควรนำไปให้ผู้มีความรู้ซ่อมหรือปรับแต่ง

 
            การจับสะไน

          ๑.  ในการจับสะไนมือขวาจับปลายสะไนโดยปล่อยนิ้วหัวแม่มือชูไว้เพื่อบังคับเปิด-ปิดเสียงส่วนมือซ้ายพร้อมที่จะเปิด-ปิดช่องลมของสะไนเพื่อไล่ระดับเสียง

          ๒.  ผู้เป่าต้องใช้มือที่ถนัดจับสะไน ให้ส่วนของลิ้นสะไนจ่ออยู่ตรงริมปาก

          การเป่าสะไน และการใช้ลม

          ๑.  ผู้เป่าจะเอาส่วนที่เป็นลิ้นสะไนจ่อที่ริมฝีปาก มือซ้ายพร้อมเปิด-ปิดบังคับไล่ระดับเสียง

          ๒.  ฝึกบังคับลมในการเป่าสะไน และฝึกการเปิด-ปิดไล่ระดับเสียง

          ๓.  ควรฝึกเป่าเรียงลำดับตามขั้นเสียงจากเสียงต่ำไปหาเสียงสูง

เครื่องหมาย และสัญลักษณ์ ตัวโน้ต ห้องเพลง และจังหวะ
การอ่านโน้ตเพลงมีหลัก ดังนี้

          ห้องเพลง        ใน    บรรทัดจะมีอยู่ ๘ ห้องเพลง

          จังหวะ           ในแต่ละห้องเพลงจะมีจังหวะเล็กๆ คงที่ ๔  จังหวะ

                             จะใช้เครื่องหมาย แทนส่วนจังหวะตก จะตกท้ายห้องเพลงเสมอ
สัญลักษณ์ของตัวโน้ต

                   . โด   แทนสัญลักษณ์ 

                   .  เร  แทนสัญลักษณ์ 

                   .  มี   แทนสัญลักษณ์ 

                   .  ฟา แทนสัญลักษณ์ 

                   .  ซอล แทนสัญลักษณ์

                   .  ลา  แทนสัญลักษณ์ 

                   .  ซี   แทนสัญลักษณ์ 

 โน้ตสะไนมี  ๕ เสียง

                    . โด   แทนสัญลักษณ์ 

                   .  เร  แทนสัญลักษณ์ 

                   .  มี   แทนสัญลักษณ์ 

                   .  ฟา แทนสัญลักษณ์ 

                     .  ซอล แทนสัญลักษณ์
 
 

ที่มา : นายพรศรี  พันธ์งาม อายุ 66 ปี บ้านเลขที่ 11 หมู่ 4 บ้านใหญ่ ตำบลเมืองคง จังหวัดศรีสะเกษ
       : ศูนย์วัฒนธรรมชาวเยอโรงเรียนเมืองคง(คงคาวิทยา)โดย นายสมพร  สมสุข







 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น