สะไน (ภูมิปัญญาชาวบ้าน )
ประวัติความเป็นมาของสะไน
“สะไนเครื่องดนตรีของชาวเยอ”
สะไน เป็นภาษาเขมรแปลว่า
“เขาสัตว์” ถ้าเป็นเขาควายก็จะเรียก “สะไนกะไบ” สะไนที่เป็นเครื่องเป่าของชาวเยอก็ทำจากเขาสัตว์โดยทำจากเขาควายเหมือนกัน
เรียกเป็นภาษาเยอว่า“ซั้ง” หรือ “ซั้งไน” การที่ชาวเยอนิยมนำเขาควายมาทำสะไนเนื่องจากเขาควายมีรูลึกตั้งแต่โคนเขาจนถึงปลายเขาทำให้เจาะรูจากปลายเขาได้ง่าย
ส่วนเขาวัวนั้นรูจากโคนเขาถึงปลายเขาไม่ลึกพอจึงไม่นิยม ตามหลักความเชื่อของชาวเยอที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอราศีไศล
สะไน เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบพิธีกรรม หรือกิจกรรมที่สำคัญเท่านั้น เช่น
พิธีกรรมบวงสรวงศาลพญากะตะศิลา การแข่งขันเรือ และเป็นการเป่าเพื่อบูชาสังข์
(หอยสังข์) ยังไม่นิยมนำมาเป่าเล่นเพื่อผ่อนคลายหรือความบันเทิงใดๆ ตามที่ครูเฒ่าเผ่าเยอได้เล่าติดต่อกันมาว่า
สะไนเป็นของศักดิ์สิทธิ์และมีความสำคัญมาก สะไนเป็นเครื่องเป่าที่สืบชื้อสายมาจากสังข์
(ในภาษาเยอเรียก ซั้ง “ปรงซั้ง” แปลว่า
“เป่าสังข์” ลิ้นของสะไนทำจากไม้ไผ่ใช้ยางไม้ติดเข้ากับตัวเขา ระหว่างปากลำโพงกับปลายเขา การเคารพบูชาสะไนจะเหมือนกับการเคารพบูชาสังข์
เพราะในอดีตชาวเยอเชื่อกันว่า การเป่าสะไนเป็นการเป่าบูชาสังข์
และเมื่อเป่าสะไนแล้ว เงือก นาค ภูตผีปีศาจ จะไม่มาทำร้ายคน พร้อมกันนี้จะทำให้ผีเจ้าป่าเจ้าเขาช่วยดูแลคุ้มครองรักษาชาวบ้านให้อยู่ดีกินดี
มีความปลอดภัย ในสมัยก่อนเมื่อชาวเยอมีการเดินทางไกลต้องผ่านป่าเขา ถ้าหากเดินทางไปไม่ถึงที่หมายจำเป็นต้องนอนค้างแรมกลางป่าเขาจะต้องเอาสะไนไปด้วย
ถ้ายามค่ำคืนก็จะเอาสะไนออกมาเป่าเพื่อเป็นการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางผีป่าผีเขาให้ช่วยดูแลรักษา
ถ้าเป่าสะไนแล้วสัตว์ป่าก็จะไม่กล้ามาทำร้าย ในสังคมวัฒนธรรมที่มีความใกล้เคียงกันเช่น
ส่วยและเขมร จะใช้สะไน เป็นเครื่องเป่าให้สัญญาณเวลาออกไปคล้องช้าง
โดยเสียงสะไนที่เป่าแต่ละครั้งหรือแต่ละเสียง
จะมีความหมายเป็นที่รู้จักกันในหมู่คณะ ลักษณะดังกล่าวจึงเหมือนกับเครื่องดนตรีอย่างหนึ่งของชนเผ่า “กะตู” ในเขตพื้นที่แขวงสาละวัน ประเทศลาว เรียก “ตะโล” เป็นเครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ไผ่แต่ตัดตรงกลางกระบอกไม้ไผ่เพื่อทำลิ้นเวลาเป่าจะดูดเข้าหรือเป่าออกก็ได้
ใช้เวลาออกจับช้างเพื่อบอกสัญญาณให้เพื่อนรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นโดยการเป่าแต่ละครั้งหรือแต่ละแบบก็จะมีความหมายแตกต่างกันไปเช่น
เป่าหนึ่งครั้งหมายถึง กำลังเดินหน้า เป่าสองครั้งหมายถึงเรียกมากินข้าว เป่าติดต่อกันหลายๆครั้งโดยไม่หยุดหมายถึงกำลังได้รับบาดเจ็บ
เป็นต้น
การใช้สะไนของชาวส่วย เขมร และการใช้ตะโล ของชาวกะตู
อาจกล่าวได้ว่าเป็นรหัสลับ คนที่จะรู้ความหมายของรหัสนี้ได้ก็ต้องเป็นคนในกลุ่มเดียวกันเท่านั้น
แต่ในสังควัฒนธรรมเยอไม่มีความเกี่ยวข้องกับช้างโดยตรงเหมือนชาวส่วยกับชาวเขมร การใช้สะไนของชาวเยอจึงเป็นเครื่องเป่าที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในเรื่องของการกำเนิด “สังข์” การเป่าสะไนจึงเป็นการเป่าเพื่อบูชาสังข์เนื่องจากสะไนเป็นเครื่องเป่าที่มีความศักดิ์สิทธิ์เท่ากับสังข์และใช้ลิ้นแบบเดียวกับสังข์
ชาวเยอยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องเป่าว่า ในโลกนี้มีเครื่องเป่าอยู่สามแบบตามความเชื่อของชาวเยอคือ
หอยสังข์ มีพระนารายณ์เป็นผู้สร้างถือว่าเป็นเครื่องเป่าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด รองลงมาคือสังข์นัย (สะไน) เป็นเครื่องเป่าของกลุ่มคนเยอมีความศักดิ์สิทธิ์รองลงมาจากหอยสังข์
เนื่องเป็นเครื่องเป่าที่ทำจากเขาควายแต่ใช้ลิ้นสังข์ สุดท้ายคือแตรสังข์
(แตรเขาสัตว์) เป็นเครื่องเป่าที่ทำจากเขาควายเหมือนกันแต่ไม่ได้ใช้ลิ้นสังข์คือเป่าจากปลายเขามักจะใช้เป็สัญญาณในการสื่อสารในการเดินเรือสินค้า
ที่มีน้ำไหลเชี่ยวและสายน้ำมีความคดโค้งจะมีการเป่าแตรสังข์เพื่อไม่ให้เรือชนกัน
ชาวเยอมีนิทานพื้นบ้านเกี่ยวกับการกำเนิดสังข์และการกำเนิดสะไนคือเรื่อง นิทานเรื่องพระเจ้าสร้างโลกกับความเป็นมาของสังข์และสะไน
สะไน
เป็นเครื่องดนตรีที่ศักดิ์สิทธิ์ตามหลักความเชื่อของชาวเยอที่อาศัยอยู่เขตพื้นที่อำเภอราษีไศล
เนื่องจากมีความเชื่อว่าสะไนมีความเกี่ยวข้องและเกี่ยวโยงกับ สังข์
ที่เป็นเครื่องเป่าอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู แม้กระทั่งในสังคมไทยก็นับถือว่า
สังข์ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เช่น
ในพระราชพิธีที่สำคัญจะมีการเป่าสังข์ก่อน เพื่อเป็นการบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเหล่าทวยเทวดาทั้งหลาย
ถ้าเป็นงานมงคลระดับชาวบ้านประชาชนทั่วไปก็มีการนำสังข์มาประกอบพิธีเช่น
การตั้งศาลพระภูมิ การรดน้ำสังข์คู่แต่งงาน เป็นต้น เมื่อชาวเยอมีความเชื่อว่าสะไนกับสังข์มีความเกี่ยวข้องกัน
จึงมีการเป่าสะไนเพื่อเป็นการบูชาสังข์ นอกจากนี้แล้วยังมีการนำสะไนมาเป่าเพื่อบูชาพระแม่ธรณีและพระแม่คงคาในประเพณีการแข่งเรือ
(ส่วงเรือ) หรือเมื่อมีการเดินทางไกลก็จะมีการเป่าสะไนก่อนออกเดินทางเพื่อให้เกิดโชคเดินทางปลอดภัยและได้รับความสำเร็จในการประกอบการต่างๆ
โดยเฉพาะถ้าเดินทางกลางป่าก็จะนำสะไนติดตัวไปด้วย
เพราะชาวเยอเชื่อว่าสัตว์ป่าทั้งหลายถ้าได้ยินเสียงสะไนแล้วจะไม่เข้ามาทำร้าย
และถ้าเป่าสะไนจะเป็นการบอกกล่าวให้ทวยเทวดาอารักข์ทั้งหลายมาปกป้องดูแลไม่ให้เกิดอันตรายใด
ในสมัยโบราณมีเรื่องจากผู้เฒ่าเผ่าเยอว่า บรรพบุรุษของคนเยอถ้าจำเป็นต้องออกรบทำศึกสงครามกับเมืองไหนจะต้องมีการเป่าสะไนก่อนเพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย
โดยเชื่อว่าเสียงของสะไนจะทำให้ได้รับชัยชนะกลับมาหรือถ้าหากแพ้ก็จะสามารถหนีเอาตัวรอดกลับมาได้
ชาวเยอโบราณมีคำสอนเกี่ยวกับการเป่าสะไนและมีฤดูกาลสำหรับการเป่าสะไนไว้ว่า ถ้าจะเป่าสะไนต้องเป่าตั้งแต่เดือน ๘ ค้อย
(เดือนกรกฎาคมจะเข้าสิงหาคม) จนถึงเดือนอ้ายค้อย
(เดือนธันวาคมจะเข้าเดือนมกราคม) ถ้านอกจากระยะเวลาดังกล่าวห้ามเป่าสะไน เพราะมันจะทำให้ “ฝนตก ฟ้าผ่ากลางวัน”
หรือเกิดสิ่งไม่ดีต่างๆขึ้นในหมู่บ้าน
แต่ถ้าเป่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าวซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนจะเป็นการเป่าเพื่อบูชาหอยและยังเป็นการป้องกันไม่ให้ฟ้าผ่าด้วย
ความเชื่อดังกล่าวมักจะพบเห็นในสังคมวัฒนธรรมอีสานทั่วๆไป
เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์หากนำมาทำเล่นเพื่อความสนุกสนานโดยไม่รู้จักกาลเทศะย่อมเป็นสิ่งไม่ดี จึงมีกฎข้อห้ามต่างๆไว้ ฉะนั้นการเป่าสะไน
จึงต้องเป่าเฉพาะโอกาสที่สำคัญหรือในยามที่จำเป็นเท่านั้น จึงแสดงให้เห็นว่าสะไนคือเครื่องเป่าที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ของเล่นที่จะนำมาเป่าเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อความสนุกสนาน การเป่าในช่วงระยะเวลาตั้งแต่เดือนแปดถึงเดือนอ้ายนั้นมีการให้เหตุผลตามความเชื่อว่า
เป็นการเป่าเพื่อบูชาหอย (สังข์)
เนื่องจากเป็นช่วงระยะเวลาที่หอยกำลังผสมพันธุ์ถ้าเป่าในช่วงนี้จะทำให้หอยมีการเจริญพันธุ์และขยายพันธุ์ดี
และอีกอย่างการเป่าสะไนจะทำให้ฝนตกหากเป่าในช่วงนี้ก็จะเป็นผลดีต่อพืชพันธุ์น้ำท่าอุดมสมบูรณ์แต่ถ้าเป่านอกฤดูกาลจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผลผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะข้าวที่จะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนอ้ายถึงเดือนสาม และช่วงนี้เป็นช่วงที่หอยจำศีลด้วยจึงห้ามเป่าสะไน
เสียงของสะไนยังเป็นเสียงที่ศักดิ์สิทธิ์ปราบผีได้ หากที่ใดมีคำล่ำลือเกี่ยวกับความดุร้ายหรือความเฮี้ยนของผีสางนางไม้ถ้าได้เป่าสะไนบริเวณนั้นจะทำให้ผียอมสยบไม่กล้าอาระวาทหลอกใครอีก
การเป่าสะไนถือได้ว่าเป็นการสร้างเสียงเพื่อสนองต่อความต้องการของมนุษย์
โดยเสียงที่สร้างขึ้นไม่ได้มีความหมายตามหลักการของทฤษฎีทางดนตรีแต่อย่างใด(ไม่มีระบบโน้ตที่แน่นอน)
แต่เป็นเสียงที่สร้างขึ้นตามลักษณะการพูดเป็นทำนองเพลงสนุกๆ เช่น เอาคักคักเอาคนคักคัก เป็นต้น เสียงการเป่าสะไนเป็นเสียงที่มีความดังเกินตัว
(เสียงดังขนาดเล็ก) มนุษย์เมื่อได้พบเจอสิ่งใดที่ดูแล้วหน้าเกรงขาม ย่อมยกย่องให้สิ่งนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนความรู้สึกว่าดี ปลอดภัย อุดมสมบูรณ์
แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีปรากฏการณ์ที่สำคัญยืนยันว่ามันจะนำมาซึ่งความสงบ
ความยินดีของตนจริง เรียกว่า ภูมิปัญญา เสียงสะไนจึงเป็นเสียงที่ศักดิ์สิทธิ์ ฟังแล้วดูหน้าเกรงขาม เป็นเครื่องดนตรีชิ้นเล็กๆแต่เสียงนั้นใหญ่เกินตัวมาก
ปัจจุบันการเป่าสะไนยังคงมีอยู่ที่ศาลพระยากตะศิลาเมืองคงโคก
บ้านหลุบโมก ต.เมืองคง อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ และศูนย์วัฒนธรรมชาวเยอโรงเรียนเมืองคง(คงคาวิทยา)โดย
นายสมพร สมสุข
ลักษณะของสะไน

ส่วนประกอบ วัสดุ อุปกรณ์
และการเก็บรักษาสะไน
วัสดุที่ใช้ทำสะไน
1.
เขาควายหรือเขาวัว
2.
ไม้ไผ่ที่เหลาบางๆ เพื่อทำลิ้นสะไน
3.
ขี้สูดเป็นตัวยึดลิ้นสะไนกับตัวสะไน
๑. เก็บสะไนในที่อากาศเย็นหรือมมีแสงแดด หรือที่มีอากาศร้อนเพราะจะทำให้ขี้สูดเสื่อมและเสียงเพี้ยน
๒. ควรเก็บสะไนไว้ในที่ปลอดภัยจากแมลง
หรือหลีกแล่งการถูกกระแทก ควรเก็บสะไนไว้โดยการแขวน
๓.
ไม่ควรดัดแปลงหรือตกแต่งใด ๆ
บริเวณลิ้นสะไนที่มีขี้สูดยึดติดเพราะจะทำให้สะไนชำรุด ถ้าเป่าแล้วเกิดผิดปกติอย่างไรควรนำไปให้ผู้มีความรู้ซ่อมหรือปรับแต่ง
๑.
ในการจับสะไนมือขวาจับปลายสะไนโดยปล่อยนิ้วหัวแม่มือชูไว้เพื่อบังคับเปิด-ปิดเสียงส่วนมือซ้ายพร้อมที่จะเปิด-ปิดช่องลมของสะไนเพื่อไล่ระดับเสียง
๒. ผู้เป่าต้องใช้มือที่ถนัดจับสะไน
ให้ส่วนของลิ้นสะไนจ่ออยู่ตรงริมปาก
๑. ผู้เป่าจะเอาส่วนที่เป็นลิ้นสะไนจ่อที่ริมฝีปาก
มือซ้ายพร้อมเปิด-ปิดบังคับไล่ระดับเสียง
๒. ฝึกบังคับลมในการเป่าสะไน
และฝึกการเปิด-ปิดไล่ระดับเสียง
๓.
ควรฝึกเป่าเรียงลำดับตามขั้นเสียงจากเสียงต่ำไปหาเสียงสูง
เครื่องหมาย
และสัญลักษณ์ ตัวโน้ต ห้องเพลง และจังหวะ
การอ่านโน้ตเพลงมีหลัก ดังนี้
ห้องเพลง ใน
๑ บรรทัดจะมีอยู่ ๘
ห้องเพลง
จังหวะ ในแต่ละห้องเพลงจะมีจังหวะเล็กๆ คงที่
๔ จังหวะ
จะใช้เครื่องหมาย
–
แทนส่วนจังหวะตก จะตกท้ายห้องเพลงเสมอ
สัญลักษณ์ของตัวโน้ต
๑. โด แทนสัญลักษณ์ ด
๒. เร แทนสัญลักษณ์ ร
๓. มี แทนสัญลักษณ์ ม
๔. ฟา แทนสัญลักษณ์ ฟ
๕. ซอล แทนสัญลักษณ์ ซ
๖. ลา แทนสัญลักษณ์ ล
๗. ซี แทนสัญลักษณ์ ท
๑.
โด แทนสัญลักษณ์ ด
๒. เร แทนสัญลักษณ์ ร
๓. มี แทนสัญลักษณ์ ม
๔. ฟา แทนสัญลักษณ์ ฟ
๕. ซอล แทนสัญลักษณ์ ซ
ที่มา : นายพรศรี พันธ์งาม อายุ 66 ปี บ้านเลขที่ 11 หมู่ 4 บ้านใหญ่ ตำบลเมืองคง จังหวัดศรีสะเกษ
:
ศูนย์วัฒนธรรมชาวเยอโรงเรียนเมืองคง(คงคาวิทยา)โดย
นายสมพร สมสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น