วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ


ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่ออารยธรรมอินเดียหรืออารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ

เป็นแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกของอินเดีย อยู่บริเวณดินแดนภาคตะวันตกของอินเดีย (ปากีสถานในปัจจุบัน) ที่แม่น้ำสินธุไหลผ่าน อาณาเขตลุ่มแม่น้ำสินธุครอบคลุมบริเวณกว้างกว่าลุ่มแม่น้ำไนล์แห่งอิยิปต์ โดยทุกๆปีกระแสน้ำได้ไหลท่วมท้นฝั่งทำให้ดินแดนลุ่มน้ำสินธุอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำกสิกรรม นักประวัติศาสตร์บางคนเรียกอารยธรรมในดินแดนนี้ว่า วัฒนธรรมฮารัปปา (Harappa Culture) ซึ่งเป็นชื่อเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มน้ำสินธุเมื่อประมาณ 3,500 1,000 ปี ก่อนพุทธศักราช
 
39

จากภูมิประเทศของอินเดียที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ มีเทือกเขาหิมาลัยกั้นอยู่ทางตอนเหนือ มีเทือกเขาฮินดูกูชอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ทางด้านตะวันตกติดกับทะเลอาหรับ ส่วนทางตะวันออกติดกับมหาสมุทรอินเดียไปจนถึงอ่าวเบงกอล ดังนั้น ผู้ที่เดินทางบกเข้ามายังบริเวณนี้ในสมัยโบราณต้องผ่านช่องเขาทางด้านตะวันตกที่เรียกว่า ช่องเขาไคเบอร์ ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะเข้าสู่อินเดียในสมัยโบราณ ช่องเขานี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อินเดียตลอดมา เพราะเส้นทางนี้เป็นทางผ่านของกองทัพของผู้รุกรานและพ่อค้าจากเอเชียกลาง อัฟกานิสถานเข้าสู่อินเดีย เพราะเดินทางได้สะดวก

การตั้งถิ่นฐานและเผ่าพันธุ์

1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบหลักฐานเป็นซากเมืองโบราณ 2 แห่งในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ คือ

1.1 เมืองโมเฮนโจ ดาโร ทางตอนใต้ของประเทศปากีสถาน

1.2 เมืองฮารับปา ในแคว้นปันจาป ประเทศปากีสถานในปัจจุบัน
 
41


รูปปั้นที่ค้นพบที่ค้นพบในสมัยก่อนประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเป็นชนชั้นสูงหรือนักบวช

2. สมัยประวัติศาสตร์ เริ่มเมื่อมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ โดยชนเผ่าอินโด-อารยัน ซึ่งตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำคงคา แบ่งได้ 3 ยุค

2.1 ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เริ่มตั้งแต่กำเนิดตัวอักษรพรามิ ลิปิ สิ้นสุดสมัยราชวงศ์ คุปตะ เป็นยุคที่ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพุทธศาสนา ได้ถือกำเนิดแล้ว

2.2 ประวัติศาสตร์สมัยกลาง เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์คุปตะสิ้นสุดลง จนถึง ราชวงศ์โมกุลเข้าปกครองอินเดีย

2.3 ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์โมกุลจนถึงการได้รับเอกราชจากอังกฤษ

หลักฐานทางโบราณคดีพบว่ามีเมืองใหญ่ 2 เมือง คือ เมืองฮารัปปา (Harappa) และเมืองโมเฮนโจ ดาโร (Mohenjo – Daro) หลักฐานดังกล่าวทำให้ทราบว่าบริเวณลุ่มน้ำสินธุมีผู้คนตั้งถิ่นฐานและสร้างสรรค์อารยธรรมมายาวนาน คือ พวกดราวิเดียนสิ่งที่เด่นที่สุดของอารยธรรมแม่น้ำสินธุ ตัวเมืองที่มีการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ แยกพื้นที่ใช้กันงานออกจากกันอย่างชัดเจน เช่น เขตที่อยู่อาศัย ศาสนสถาน ยุ้งฉาง มีการตัดถนนเป็นมุมฉากและแบ่งเมืองออกเป็นตาราง แสดงความรู้ด้านเรขาคณิตขั้นสูงสิ่งที่โดดเด่นกว่าอารยธรรมอื่นๆ คือ มีการจัดระบบสุขาภิบาลที่ดี เป็นระบบ จากรูปแบบการก่อสร้างแสดงให้เห็นว่ามีการปกครองแบบรวมอำนาจ ซึ่งผู้ปกครองอาจเป็นนักบวชหรือกษัตริย์ที่เป็นผู้นำศาสนาด้วย

40 

ลักษณะซากเมืองโบราณฮารัปปา

ชนเผ่าสำคัญที่สร้างสรรค์อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ แบ่งได้เป็น 2 พวก คือ

1) พวกดราวิเดียน คือชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ตั้งถิ่นฐานบริเวณลุ่มน้ำสินธุราว 4,000 ปีมาแล้ว พวกนี้มีรูปร่างเตี้ย ผิวคล้ำและจมูกแบน คล้ายกับคนทางตอนใต้ในอินเดียบางพวกปัจจุบัน

2) พวกอารยัน เป็นพวกที่อพยพเคลื่อนย้ายจากดินแดนเอเชียกลาง ลงมายังตอนใต้กระจายไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ต่างๆซึ่งอุดมสมบูรณ์และมีภูมิอากาศที่อบอุ่นกว่า พวกอารยันส่วนหนึ่งได้เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มน้ำสินธุและขับไล่พวกดราวิเดียนให้ถอยร่นไปหรือจับตัวเป็นทาส พวกอารยันมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว จมูกโด่ง คล้ายกับชาวอินเดียที่อยู่ทางตอนเหนือ พวกอารยันเหล่านี้รับวัฒนธรรมชนพื้นเมือง แล้วนำมาผสมผสานเป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ

การปกครองและกฎหมาย

บ้านเมืองในลุ่มน้ำสินธุมีร่องรอยของการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทั้งนี้เห็นได้จากรูปแบบการสร้างเมืองฮารัปปาและเมืองโมเฮนโจ ดาโร ที่มีการวางผังเมืองในลักษณะเดียวกัน มีการตัดถนนเป็นระเบียบ การสร้างบ้านใช้อิฐขนาดเดียวกัน ตัวเมืองมักสร้างอยู่ในป้อมซึ่งต้องมีผู้นำที่มีอำนาจแบบรวมศูนย์ ผู้นำมีสถานภาพเป็นทั้งกษัตริย์และเป็นนักบวชจึงมีอำนาจทั้งทางโลกและทางธรรม

ต่อมาเมื่อพวกอารยันเข้ามาปกครองดินแดนลุ่มน้ำสินธุแทนพวกดราวิเดียน จึงได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบกระจายอำนาจ โดยแต่ละเผ่ามีหัวหน้าที่เรียกว่า ราชาปกครองกันเอง มีหน่วยการปกครองลดหลั่นลงไปตามลำดับ จากครอบครัวที่มีบิดาเป็นหัวหน้าครอบครัว หลายครอบครัวรวมเป็นระดับหมู่บ้าน และหลายหมู่บ้านมีราชาเป็นหัวหน้า ต่อมาแต่ละเผ่ามีการพุ่งรบกันเอง ทำให้ราชาได้ขึ้นมามีอำนาจสูงสุดในการปกครองด้วยวิธีต่างๆ เช่น พิธีราชาภิเษก ความเชื่อในเรื่องอวตารพิธีอัศวเมธ เป็นพิธีขยายอำนาจโดยส่งม้าวิ่งไปยังดินแดนต่างๆ จากนั้นจึงส่งกองทัพติดตามไปรบเพื่อยึดครองดินแดนที่ม้าวิ่งผ่านไป การตั้งชื่อเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ คำสอนในคัมภีร์ศาสนาและตำราสนับสนุนความยิ่งใหญ่ของราชา และต่อมาก็มีคติความเชื่อว่า ราชาทรงเป็นสมมติเทพ คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพอวตารลงมาเพื่อปกครองมวลมนุษย์

ในด้านการปกครองมีการเขียนตำราเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง ชื่อ อรรถศาสตร์ ระบุหน้าที่ของกษัตริย์ ในด้านกฎหมาย มีพระธรรมศาสตร์และต่อมามีการเขียนพระธรรมนูญธรรมศาสตร์ขึ้น

 ด้านสังคมและวัฒนธรรม

ในลุ่มน้ำสินธุกลุ่มชนที่อาศัยในระยะแรกคือพวกดราวิเดียนซึ่งมีโครงสร้างทางสังคมประกอบด้วยผู้ปกครอง ได้แก่ ราชาและขุนนาง แต่เมื่อพวกอารยันเข้ามาปกครองทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม กล่าวคือฝ่ายดราวิเดียนถูกลดฐานะลงเป็นทาส ความสัมพันธ์ของคนในสังคมระยะแรกมีการแต่งงานระหว่างชนสองเผ่าพันธุ์ แต่ต่อมาพวกอารยันเกรงว่าจะถูกกลืนทางเชื้อชาติ จึงห้ามการแต่งงานระหว่างชนสองกลุ่ม ทำให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างเผ่าพันธุ์ จนกลายเป็นระบบชนชั้นที่แบ่งหน้าที่ชัดเจนโดยแบ่งออกเป็น 4 วรรณะใหญ่ๆ คือ วรรณะพราหมณ์ ผู้ประกอบพิธีกรรมและสืบสานต่อศาสนา วรรณะกษัตริย์ มีหน้าที่ปกป้องแว่นแคว้น วรรณะแพศย์ มีหน้าที่ผลิตอาหารและหารายได้ให้แก่บ้านเมือง และวรรณะศูทร คือคนพื้นเมืองดั้งเดิมที่มีหน้าที่รับใช้วรรณะทั้งสาม ส่วนลูกที่เกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะถูกจัดให้อยู่นอกสังคม เรียกว่า พวกจัณฑาล นอกจากนี้ในหมู่ชาวอารยัน สตรีมีฐานะสูงในสังคมและใช้โคเป็นเครื่องวัดความมั่งคั่งของบุคคล

ในด้านวัฒนธรรม พวกดราวิเดียนนับถือสัตว์บางชนิด ได้แก่ โค ช้าง และแรด นอกจากนี้ยังนับถือเทพเจ้าต่างๆและแม่พระธรณี ซึ่งเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ พวกอารยันรับความเชื่อของพวกดราวิเดียนบางอย่างมานับถือ ได้แก่ การนับถือโค พระศิวะและศิวลึงค์ นอกจากนี้ยังนับถือเทพเจ้าหลายองค์

49 

แม่คงคาที่ชาวอินเดียเชื่อกันว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์
และมีความเชื่อว่าหากเอาศพมาลอยน้ำจะขึ้นสวรรค์ ได้ดื่มก็และได้อาบก็จะเป็นศิริมงคล

ด้านศาสนา

อินเดียเป็นแหล่งกำเนิดศาสนาสำคัญของโลกตะวันออก ได้แก่

1. ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู มีเทพเจ้าที่สำคัญ เช่น พระศิวะ เป็นเทพผู้ทำลายความชั่วร้าย พระพรหม เป็นเทพเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งบนโลก พระวิษณุ เป็นเทพเจ้าแห่งสันติสุขและปราบปรามความยุ่งยาก เป็นต้น
42

2. พระพุทธศาสนา มีหลักคำสอนที่สำคัญ เช่น อริยสัจ 4 มีจุดหมายเพื่อมุ่งสู่นิพพาน

3. ศาสนาเชน มีศาสดา คือ มหาวีระ มีนิกายที่สำคัญอยู่ 2 นิกาย คือ นิกายเศวตัมพร เป็นนิกายนุ่งผ้าขาว ถือว่าสีขาวเป็นสีบริสุทธิ์ และนิกายทิฆัมพร เป็นนิกายนุ่งลมห่มฟ้า (เปลือยกาย)
 
 44
มหาวีระ ศาสดาศาสนาเชน

4. ศาสนาซิกข์ เป็นศาสนาที่ก่อตั้งขึ้นมาโดย พระศาสดา ศรี คุรุ นานัก เดว ยิ ในปี พ.ศ. 2012 (ค.ศ. 1469) โดยหลักธรรมและคำสอนพื้นฐานของศาสนาซิกข์ขึ้นมา เป็นศาสนาที่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความจริงและเน้นความเรียบง่าย สอนให้ทุกคนยึดมั่นและศรัทธาในพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว
 

 43
พระศาสดา ศรี คุรุ นานัก เดว ยิ

ด้านเศรษฐกิจ

คนในดินแดนลุ่มน้ำสินธุมีการทำอาชีพเกษตรเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจและมีการทำการค้าภายใน การเพิ่มประชากรในแต่ละอาณาจักร ทำให้การค้าภายในเมืองต่างๆขยายตัวขึ้น ซึ่งมีสินค้าสำคัญ เช่น ดีบุก ทองแดง หินมีค่าชนิดต่างๆ นอกจากนี้ยังมีสินค้าอุตสาหกรรม เช่น การทอผ้า ฝ้าย ไหม เป็นสินค้าไปขายในดินแดนต่างๆ อาทิ อาระเบีย เปอร์เซีย และอิยิปต์ เป็นต้น

เมื่อชาวอารยันมีอำนาจมั่นคง จึงได้สร้างบ้านอยู่เป็นหมู่บ้าน มีการปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์พันธุ์ต่างๆมากขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ชาวอารยันยังมีอาชีพเป็นช่างต่างๆ เช่น ช่างทองแดง ช่างเหล็ก ช่างปั้นหม้อ ช่างปะชุน เย็บผ้า เป็นต้น การที่ชาวอารยันดำเนินการค้าขายทั้งทางบกและทางทะเลอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีเศรษฐกิจดีพอที่จะสนับสนุนให้เกิดการสร้างสรรค์อารยธรรมในด้านอื่นๆ

 ด้านภาษาและวรรณกรรม

ในดินแดนลุ่มน้ำสินธุยังพบวัฒนธรรมด้านภาษา คือ ตัวอักษรโบราณของอินเดีย ซึ่งเป็นอักษรดั้งเดิมที่ยังไม่มีนักวิชาการอ่านออก อักษรโบราณนี้ปรากฏในดวงตราต่างๆมากกว่า 1,200 ชิ้น โดยในดวงตราจะมีภาพวัว ควาย เสือ จระเข้ และช้าง ปรากฏอยู่ด้วย

พวกอารยันใช้ภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นภาษาที่ใช้เขียนคัมภีร์ศาสนา เช่น คัมภีร์พระเวท เมื่อประมาณ 1,000 ปีมาแล้ว วรรณกรรมทื่สำคัญได้แก่ มหากาพย์มหาภารตยุทธ ซึ่งเป็นเรื่องการสู้รบในหมู่พวกอารยันและมหากาพย์รามเกียรติ์ เป็นเรื่องการสู้รบระหว่างพวกดราวิเดียนกับพวกอารยัน

มรดกของอารยธรรมอินเดีย

1. ด้านสถาปัตยกรรม

- ซากเมืองฮารับปาและโมเฮนโจ ดาโร ทำให้เห็นว่ามีการวางผังเมืองอย่างดี มีสาธารณูปโภคอำนวยความสะดวกหลายอย่าง เช่น ถนน บ่อน้ำ ประปา ซึ่งเน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่าความสวยงาม

- ซากพระราชวังที่เมืองปาฏลีบุตรและตักศิลา สถูปและเสาแปดเหลี่ยม ที่สำคัญคือ สถูปเมืองสาญจี (สมัยราชวงศ์โมริยะ)

- สุสานทัชมาฮาล สร้างด้วยหินอ่อน เป็นการผสมระหว่างศิลปะอินเดียและเปอร์เชีย

2. ด้านประติมากรรม เช่น

45
                    พระพุทธรูปแบบคันธาร
46

 
 
 
 
 
 
 
 
                                                                               พระพุทธรูปแบบมถุรา
47
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 พระพุทธรูปแบบอมราวดี

3. จิตรกรรม

สมัยคุปตะ และหลังสมัยคุปตะ เป็นสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของอินเดียพบงานจิตรกรรมที่ ผนังถ้ำอชันตะ เป็น ภาพเขียนในพระพุทธศาสนาแสดงถึงชาดกต่างๆ ที่งดงามมาก ความสามารถในการวาดเส้นและการอาศัยเงามืดบริเวณขอบภาพ ทำให้ภาพแลดูเคลื่อนไหว ให้ความรู้สึกสมจริง

4. นาฏศิลป์

เกี่ยวกับการฟ้อนรำ เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเพื่อบูชาเทพเจ้าตามคัมภีร์พระเวท
 
48
ศิวนาฏราช
 
 
 
 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น