วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส



        เนื่องจากจังหวัดนราธิวาส เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำน้ำขังตลอดปีเรียกว่า ดินพรุ ซึ่งมีอยู่ในจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดใกล้เคียงถึงประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ ไร่ ดินพรุมีคุณภาพต่ำ แม้ระบายน้ำออกแล้ว ก็เพาะปลูกไม่ได้ผล เพราะดินมีสารประกอบไพไรท์ ทำให้เกิดกรดกำมะถัน เมื่อดินแห้งทำให้ดินเปรี้ยวจัดเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของพืช เมื่อราษฎรประกอบอาชีพเกษตรกรรมไม่ได้ผล พื้นที่ดินจำนวนมากจึงถูกทิ้งให้รกร้างเปล่าประโยชน์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริให้ก่อตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ขึ้น เมื่อพุทธศักราช 2524 โครงการตั้งอยู่ระหว่างบ้านพิกุลทอง บ้านโคกสยา ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ห่างจากตัวเมืองไป 8 กิโลเมตร
 
 
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นศูนย์รวมกำลังของเจ้าหน้าที่ด้านเกษตร สังคม และการส่งเสริมการศึกษามารวมอยู่ด้วยกัน เพื่อให้ความรู้ และช่วยอนุเคราะห์ด้านวิชาการแก่ประชาชน ในการประกอบอาชีพและพัฒนาตนเอง
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาแห่งนี้ มีเป้าหมายสำคัญด้านการวิจัยเพื่อปรับปรุงดินพรุ ให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมให้ได้มากที่สุด และมีการศึกษาทดลองเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดครอบครัวแบบครบวงจร ในเรื่องยางพาราและปาล์มน้ำมัน อันเป็นพืชเศรษฐกิจของภาคใต้ด้วย
 
การดำเนินงานของโครงการเป็นไปในลักษณะผสมผสาน มีหน่วยงานที่เข้าร่วมสนองพระราชดำริเป็นจำนวนมาก เช่น กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน กรมวิชาการเกษตร กรมป่าไม้ กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมพัฒนาชุมชน สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ฯลฯ
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ดำเนินการในพื้นที่ดินพรุ ๒๖๑,๘๖๐ ไร่ แบ่งเป็น
เขตพัฒนา ๙๕,๐๑๕ ไร่
เขตอนุรักษ์ ๑๐๙,๙๓๘ ไร่
เขตสงวน ๕๖,๙๐๗ ไร่
และหมู่บ้านรอบศูนย์ฯ อีก ๘ หมู่บ้าน พื้นที่ ๒๓,๐๖๘ ไร่ มีศูนย์สาขาอีก ๓ แห่ง อยู่ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ได้แก่
โครงการสวนยางเขาต้นหยง อำเภอเมือง
โครงการพัฒนาหมู่บ้านปิแดมูดอ อำเภอระแงะ
โครงการหมู่บ้านปศุสัตว์-เกษตรมูโนะ อำเภอตากใบ
กิจกรรมของศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ที่สำคัญ คือ
ศึกษาพัฒนาดินอินทรีย์และดินเปรี้ยวจัด
ศึกษาปัญหาระบบการปลูกพืช การปลูกพืชร่วมกับยางพารา เช่น ระกำ ไม้ดอก
การเกษตรยั่งยืนตามแนวทฤษฎีใหม่
การปลูกไม้ดอกเมืองหนาว
การฝึกอบรมและส่งเสริมงานศิลปาชีพพิเศษ และอื่น ๆ
เมื่อศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ดำเนินการศึกษาวิจัยและทดลองเพื่อแก้ปัญหาดิน พัฒนาพื้นที่ และหารูปแบบวิธีการที่เหมาะสมได้ผลดี ในการประกอบอาชีพแล้ว ศูนย์วิจัยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางบริการข้อมูลและสาธิตเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรม ดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในหมู่บ้านรอบศูนย์ฯ และเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน เพื่อให้นำไปใช้พัฒนาพื้นที่ที่มีปัญหาขยายผลออกไปตามเป้าหมาย
พื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดนราธิวาสที่เคยถูกทอดทิ้งให้เปล่าประโยชน์ จึงกลับใช้ประโยชน์ได้ เช่น สามารถปลูกข้าว ปลูกผัก และปลูกพืชไร่ และราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาสามารถปราดเปรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ตั้งโครงการ
ตั้งอยู่ระหว่างบ้านพิกุลทอง บ้านโคกสยา อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ห่างจากตัวเมืองนราธิวาส ๘ กิโลเมตร บริเวณพื้นที่ตั้งศูนย์ศึกษามีเนื้อที่ ๕๑๐ ไร่ โทร (๐๗๓) ๕๑๓๕๖๒ โทรสาร (๐๗๓) ๕๑๓๕๖๑
 

 

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้


ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อ ๑๔ ปีก่อน ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ไปเยี่ยมเยือนภาคเหนือของไทย เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน ต่างนิยมชมชื่นว่าเป็นดินแดนที่มีธรรมชาติและวัฒนธรรมงดงาม แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในชนบทภาคเหนือ ทรงทราบว่า มีพื้นที่ภาคเหนือซึ่งส่วนมากเป็นภูเขา ที่เคยมีป่าไม้ต้นน้ำลำธารอุดมสมบูรณ์ ถูกราษฎรโดยเฉพาะชาวเขาบุกรุกทำลายเพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงชีวิต โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้ทำลายพื้นดินให้เปลี่ยนสภาพเสื่อมโทรมลงเป็นจำนวนมาก ทรงตระหนักในทันทีว่า จำเป็นต้องเร่งรีบแก้ไขโดยการพัฒนาพื้นดิน พัฒนาอาชีพ และพัฒนาคน เพื่อบรรเทาและหยุดยั้งการทำลายป่า ซึ่งจะนำอันตรายใหญ่หลวงมาสู่ส่วนรวมในอนาคต
 
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้ง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ ขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕ ณ บริเวณพื้นที่ต้นน้ำ ห้วยฮ่องไคร้ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่โครงการประมาณ ๘,๕๐๐ ไร่ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ "ป่าขุนแม่กวง" ภูมิประเทศทั่วไปเป็นป่าเขา และต่อมาได้จัดตั้งศูนย์สาขาอีก ๔ แห่ง คือ
๑. โครงการศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่
๒. โครงการพัฒนาเบ็ดเสร็จลุ่มน้ำสาขาแม่ปิง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอฮอด อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน
๓. โครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย
๔. โครงการพัฒนาดอยตุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ มีเป้าหมายในการศึกษาและทดสอบหารูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสมกับพื้นที่บริเวณต้นน้ำลำธารของภาคเหนือทั้ง ด้านการพัฒนาป่าไม้ และการพัฒนาอาชีพ เพื่อนำออกสาธิตเป็นแบบอย่างให้หน่วยราชการและราษฎรนำไปปฏิบัติ เพื่อพัฒนาท้องถิ่นต่อไป
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ ดำเนินกิจการสำคัญ ๆ ได้แก่
๑. งานศึกษาพัฒนาแหล่งน้ำจัดสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดต่าง ๆ บนสันเขา สร้างฝายต้นน้ำเพื่อกระจายน้ำให้พื้นที่กลับชุ่มชื้น
๒. งานศึกษาและพัฒนาป่าไม้ ปลูกสร้างสวนป่าใหม่ ฟื้นฟูบำรุงรักษาป่าธรรมชาติที่เหลืออยู่ ปลูกพันธุ์ไม้เสริม ช่วยการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติของไม้ต้นเล็ก ศึกษาพัฒนาระบบเกษตรป่าไม้ ศึกษาวิจัยต้นน้ำลำธาร และนิเวศน์ป่าไม้ ตลอดจนศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าในพื้นที่ต้นน้ำลำธารเพื่อพัฒนาป่า
๓. งานศึกษาและพัฒนาที่ดิน จัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำสำหรับพื้นที่ลาดชันที่ทำประโยชน์ทางเกษตรกรรมไม่ได้
๔. งานศึกษาและทดสอบการปลูกพืชประเภทไม้ผล ได้แก่ มะม่วง ลิ้นจี่ ลำไย มะขามหวาน ฯลฯ ตลอดจนพืชอุตสาหกรรม เช่น แมคคาเดเมีย กระทกรกฝรั่ง มะม่วงหิมพานต์ และพืชผัก เช่น กะหล่ำ มะเขือ แตง และเห็ด
๕. งานศึกษาและพัฒนาเกษตรกรรมแบบประณีต โดยปลูกไม้ยืนต้นเป็นแถว และปลูกไม้ล้มลุกที่เป็นยาและอาหารแทรกเพื่อเกิดรายได้ควบคู่กันไป
๖. งานศึกษาและพัฒนาปศุสัตว์ โคนม และสัตว์ปีก
๗. งานศึกษาและพัฒนาการประมง ศึกษาวิจัยการเพาะเลี้ยงปลา วางระเบียบการจับปลาในอ่างน้ำเพื่อมิให้มีการทำลายพันธุ์ปลา
๘. งานอนุรักษ์และพัฒนาอาชีพเลี้ยงกบ
๙. งานปลูกหญ้าแฝก ศึกษาทดลองการปลูกหญ้าแฝก เพื่อป้องกันหน้าดินพังทลายเป็นการสนองพระราชดำริ
๑๐. งานพัฒนาหมู่บ้านรอบศูนย์ฯ โดยพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และส่งเสริมการเกษตรอุตสาหกรรมเพิ่มพูนรายได้ด้วย
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ ก็เช่นเดียวกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาอื่น ๆ ที่มีหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานร่วมรับผิดชอบดำเนินการสนองพระราชดำริ เช่น กรมชลประทาน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง ฯลฯ
เมื่อศูนย์ฯ ได้ศึกษาทดลองด้านต่าง ๆ ได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้ว ได้นำออกเผยแพร่ ฝึกอบรม ส่งเสริมให้ราษฎร และหน่วยราชการนำไปปฏิบัติ เพื่อให้มีอาชีพที่มั่นคงมีรายได้เลี้ยงคน และครอบครัว พัฒนาท้องถิ่นเป็น การพัฒนาแบบยั่งยืน ที่ได้ผลสมตามพระราชประสงค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนาผู้ทรงพระปรีชาสามารถล้ำเลิศ ทรงรักและเอื้ออาทรในทุกข์สุขของราษฎรถ้วนหน้า ทรงทุ่มเทอุทิศพระองค์ด้วยพระอัจฉริยภาพ และพระวิริยะอุตสาหะสูงยิ่ง แม้ใช้เวลานานนับสิบปีกว่าจะเห็นผลก็มิได้ทรงย่อท้อ
พระเสโสทุกหยาดหยด คือ น้ำอมฤตที่หลั่งลงพลิกฟื้นผืนแผ่นดินไทยให้กลับเป็นแผ่นดินทอง และชุบชีวิตราษฎรในชนบทให้สามารถดำรงชีวิตด้วยความผาสุกสมตามอัตภาพ
 
ที่ตั้งโครงการ
ตั้งอยู่บริเวณป่าขุนแม่กวง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ ๓๔ กิโลเมตร บนทางหลวงหมายเลข ๑๐๑๙ สายเชียงใหม่-เชียงราย มีพื้นที่ดำเนินการทั้งหมดประมาณ ๘,๕๐๐ ไร่ ซึ่งภูมิประเทศทั่วไปเป็นป่าเขา โทร (๐๕๓) ๒๔๘๐๐๔ โทรสาร (๐๕๓) ๒๔๘๔๘๓
 
 
 

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร


         พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานขึ้น เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๕ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอาชีพความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตของปวงชนชาวไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
 
 
ศูนย์ศึกษาพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำรินี้ ตั้งอยู่ที่บ้านนานกเค้า ตำบลห้วยยาง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ห่างอำเภอเมืองไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๑๐ กิโลเมตร มีพื้นที่ดำเนินการทั้งหมด ๑๓,๓๐๐ ไร่
การดำเนินงานแบ่งเป็น
พื้นที่พัฒนาการเกษตรประมาณ ๒,๓๐๐ ไร่
พื้นที่เขตปริมณฑลเพื่อการพัฒนาป่าไม้ประมาณ ๑๑,๐๐๐ ไร่ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่มีชื่อว่า ป่าภูล้อมข้าวและป่าภูเพ็ก
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ เริ่มดำเนินการตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๒๗ โดยเพิ่มศึกษาค้นคว้าวิจัยทดลองงานพัฒนาการเกษตรที่เหมาะสมแก่ท้องถิ่น และนำออกเผยแพร่เป็นตัวอย่างให้ราษฎรนำไปปฏิบัติ เพื่อพัฒนาอาชีพ ฟื้นฟู และพัฒนาป่าไม้ การปลูกพืชเศรษฐกิจที่ให้ผลเพิ่มรายได้แก่เกษตรกร
การดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ นี้ มีหน่วยราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยร่วมรับผิดชอบ เช่น กรมชลประทาน กรมป่าไม้ กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
กิจกรรมของศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ ครอบคลุมทุกด้านที่มีผลต่อการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมอันเหมาะสมแก่สภาพพื้นที่ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรในพื้นที่ ได้แก่
งานชลประทาน สร้างแหล่งเก็บกักน้ำ เช่น อ่างเก็บน้ำห้วยตาดไฮใหญ่ อ่างเก็บน้ำห้วยเดียก ฝายกักเก็บน้ำจากต้นน้ำลำธาร แนะนำการจัดระบบส่งน้ำและการใช้น้ำแก่เกษตรกร
งานศึกษาและพัฒนาเกษตรกรรม ศึกษาทดลองวิธีการที่ได้ผลในการเพิ่มผลผลิตและรายได้ เช่น ศึกษาทดสอบเลือกสายพันธุ์ข้าว พืช และไม้ผลที่เหมาะสมแก่สภาพพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ข้าว พืช และไม้ผลที่เหมาะสมแก่สภาพพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ข้าว พืชไร่ พืชสวน เป็นต้นว่า เงาะ ลำไย ทุเรียน น้อยหน่า หม่อนไหม ยางพารา เห็ด การจัดระบบการทำฟาร์ม การศึกษาวิธีแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร
งานศึกษาและพัฒนาป่าไม้ อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ที่ทรุดโทรม ปลูกและบำรุงป่าธรรมชาติ ส่งเสริมการปลูกป่าทดแทน ส่งเสริมการปลูกหวายดง ไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ตลอดจนการเพาะเลี้ยงครั่ง ควบคุมและป้องกันไฟป่า
งานส่งเสริมและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการประมง ศึกษาทดลองและพัฒนาการประมงน้ำจืด ส่งเสริมการเลี้ยงปลาบ่อ และในกระชังในอ่างเก็บน้ำ
งานศึกษาและพัฒนาด้านปศุสัตว์ ปรับปรุงทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ศึกษาและทดลองการเลี้ยงสัตว์ การผลิตอาหารสัตว์ เช่น ส่งเสริมการปลูกกระถินเป็นรั้วบ้าน ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วฮามาด้า การจัดการด้านการเลี้ยงสัตว์ และวิธีแก้ปัญหา เช่น การป้องกันและกำจัดโรคของสัตว์
งานศึกษาและพัฒนาปรับปรุงบำรุงดิน อนุรักษ์ดินและน้ำวิจัยทดสอบ ถ่ายทอดความรู้แก่ราษฎรเพื่อให้พัฒนาที่ดินให้เกิดประโยชน์
งานส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครัวเรือน แนะนำฝึกอบรม ส่งเสริมความรู้ด้านอุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น การตีเหล็ก ผลิตมีด และเครื่องมือเกษตร ฝึกอบรมย้อมสีด้าย ทอผ้า เพื่อให้ราษฎรทำเครื่องใช้ในครัวเรือนเป็นการประหยัด หรือเป็นอาชีพเสริมเพิ่มพูนรายได้
งานส่งเสริมการเกษตร นำความรู้ด้านเกษตรที่ศึกษาทดลองได้ผลเป็นที่พอใจแล้ว เผยแพร่แก่เกษตรกรให้นำไปปฏิบัติด้วยตนเอง
งานศึกษาและพัฒนาหมู่บ้านตัวอย่าง จัดระเบียบชุมชนและพัฒนาคุณภาพชีวิตตามเกณฑ์ความจำเป็นพื้นฐาน จัดตั้งและพัฒนาองค์กรประชาชนในหมู่บ้านรอบศูนย์
งานฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี ถ่ายทอดความรู้ด้านเกษตรกรรมแก่ราษฎรในหมู่บ้านรอบศูนย์ และราษฎรในจังหวัดต่าง ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้นำความรู้ไปพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิต
ด้วยเดชะพระบารมี พระปรีชาสามารถที่ทรงเห็นการณ์ไกล และพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมุ่งมั่นบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรที่ยากไร้ในชนบท ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้อำนวยประโยชน์แก่ราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้พัฒนาผืนดิน พัฒนาอาชีพเกษตรกรรมและอาชีพเสริม ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านความรู้สุขภาพอนามัย
พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะพระมหากษัตริย์นักพัฒนา ได้ปรากฎ ขจายขจรเป็นที่ยกย่องเทิดทูนทั้งในประเทศไทย และนานาประเทศทั่วโลก
ที่ตั้งโครงการ
ตั้งอยู่บ้านนานกเค้า ตำบลห้วยยาง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร อยู่ห่างจากอำเภอเมืองสกลนครไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๑๐ กิโลเมตร มีพื้นที่ดำเนินการทั้งหมดประมาณ ๑๓,๓๐๐ ไร่ โทร (๐๔๒) ๗๑๒๙๗๕ โทรสาร (๐๔๒) ๗๑๒๙๔๕
 
 

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี


ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี



เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่จังหวัดจันทบุรี และได้พระราชทานพระราชดำรัสแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดว่า "ให้พิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสม จัดทำโครงการพัฒนาด้านอาชีพการประมงและการเกษตร ในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเล และจังหวัดจันทบุรี" พร้อมกับได้พระราชทานเงินที่ราษฎรจังหวัดจันทบุรีทูลเกล้าฯ ถวายในโอกาสนั้น เป็นทุนเริ่มดำเนินการ
ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้น จึงรับสนองพระราชดำริ ก่อตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ขึ้น เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๔ ที่ตำบลคลองขุด อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมประมง สำนักงานจังหวัดจันทบุรี กรมที่ดิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โครงการชลประทานจังหวัดจันทบุรี กรมชลประทาน สำนักนโยบายและสิ่งแวดล้อม กรมป่าไม้ กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด กรมปศุสัตว์ และอื่น ๆ
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ นี้ มีพื้นที่เป้าหมายของโครงการอยู่ ณ บริเวณอ่าวคุ้งกระเบน ครอบคลุมชายฝั่งทะเลโดยรอบ รวม ๒,๐๐๐ ไร่ ส่วนพื้นที่รอบนอกได้แก่ พื้นที่เขตตำบลคลองขุด ตำบลสนามไชย และใกล้เคียงเป็นเขตหมู่บ้านประมงตลอดแนวชายฝั่งทะเล และเขตเกษตรกรรมประมาณ ๓๒,๐๐๐ ไร่
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาแห่งนี้ ได้รับความร่วมมือช่วยเหลือทางวิชาการจากรัฐบาลแคนาดา ๕ ปี ระหว่างพุทธศักราช ๒๕๓๓-๒๕๓๘
การดำเนินงานของศูนย์การพัฒนาอ่างคุ้งกระเบน มุ่งดังนี้
๑. ยกระดับความเป็นอยู่ อาชีพ ของราษฎรที่ยากจน รอบอ่างคุ้งกระเบน และพื้นที่ใกล้เคียง
๒. พัฒนาอาชีพประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งทะเล เพื่อเพิ่มผลผลิต และเป็นพื้นฐานของการพัฒนาการประมงในอนาคต
๓. พัฒนาการใช้และการอนุรักษ์ธรรมชาติ ให้เกิดความสมดุล
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่างคุ้งกระเบน ได้ดำเนินการด้านศึกษาวิจัยทดลองและเผยแพร่ความรู้เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาที่เป็นผลดีหลายประการ เช่น
๑. คัดเลือกราษฎร ๑๐๕ ครัวเรือน เข้าประกอบอาชีพเลี้ยงกุ้งกุลาดำในพื้นที่เสื่อมโทรมชายเลน ๗๑๘ โดยให้ดำเนินการแบบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสร้างบ่อเก็บตะกอนเลน ปลูกป่าชายเลนเพิ่มหลังนากุ้ง
๒. อนุรักษ์ป่าชายเลนที่ยังสมบูรณ์รอบอ่าว และบนเขารอบ ๆ อ่าว และส่งเสริมให้ราษฎรปลูกป่าชายเลนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยการศึกษาระบบนิเวศน์และให้ความรู้แก่ราษฎร ตรวจตราและปราบปรามการทำลายป่า
๓. อนุรักษ์และควบคุมดูแลหญ้าทะเล ในอ่างคุ้งกระเบนให้อุดมสมบูรณ์ตลอดไป เพื่อเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ทะเล
๔. สร้างแปลงพ่อแม่พันธุ์หอยนางรม เพื่อแพร่ขยายพันธุ์ลูกหอยให้ราษฎรเก็บไปเลี้ยง เป็นอาชีพเสริมรายได้ และลดมลภาวะจากแพลงก์ตอนพืชที่มีมากในแหล่งน้ำอ่าวคุ้งกระเบน ส่งเสริมให้ราษฎรเลี้ยงหอยนางรมแบบแขวน
๕. เพาะพันธุ์สัตว์น้ำชายฝั่งทะเล คือ กุ้งแชบ๊วย กุ้งกุลาดำ ปลากะพงขาว ปลากะรัง ปล่อยลงในป่าชายเลนและแหล่งหญ้าทะเลในอ่าว เพื่อเพิ่มผลผลิต และเพื่อให้เกิดสมดุลย์ทางธรรมชาติและรักษาสภาวะแวดล้อม
๖. สร้างที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล บริเวณหน้าอ่าวคุ้งกระเบนให้สัตว์น้ำเจริญเติบโตได้ดี แล้วออกสู่ทะเลขยายพันธุ์ให้อุดมสมบูรณ์ต่อไป
๗. ส่งเสริมให้ราษฎรมีอาชีพถาวรยั่งยืน ในพื้นที่รอบนอก โดยให้ความรู้และสร้างปัจจัยที่ให้ผล เช่น ในเรื่องการทำสวน ทำไร่นา เรื่องพืชที่เหมาะสม การปรับปรุงดิน การแปรรูปอาหาร การเลี้ยงปลาในกะชัง เป็นต้น
๘. ดูแลให้ความรู้ในด้านพัฒนาคุณภาพชีวิต แก่ราษฎรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ สามารถร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่
ผลงานของศูนย์ศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำรินี้ ได้อำนวยประโยชน์แก่ราษฎรยากจนในพื้นที่เป้าหมายและพื้นที่รอบนอก ทำให้มีอาชีพยั่งยืน ยกฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น และราษฎรร่วมมือในการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมและพัฒนาพื้นที่ของตนเองอย่างต่อเนื่อง
นับว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานความรัก พระราชทานพระมหากรุณาและพระเมตตาคุณไปคุ้มเศียรเกล้าของราษฎรให้สามารถดำรงชีพได้ผล เกิดความร่มเย็นเป็นสุข และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ได้รับความรู้ ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความภาคภูมิใจที่สามารถทำประโยชน์แก่บ้านเมือง โดยเฉพาะพื้นที่ดังกล่าวได้รับการพัฒนาให้มีคุณค่าขึ้น
ที่ตั้งโครงการ
ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลตะวันออก บริเวณอ่าวคุ้งกระเบน ตำบลคลองขุด อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี โทร (๐๓๙) ๓๒๑๙๓๐ โทรสาร (๐๓๙) ๓๒๕๙๔๐
 
 

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี


ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี




         ห้วยทราย ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ก็เช่นเดียวกับดินแดนอื่น ๆ อีกมากของประเทศไทย ที่แต่เดิมเคยเป็นป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้นานาพันธุ์เขียวชะอุ่ม มีสัตว์ป่าโดยเฉพาะ เนื้อทราย อาศัยตามธรรมชาติเป็นจำนวนมาก จึงเรียกชื่อว่า "ห้วยทราย" และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสร้าง "พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน" หรือป่าเนื้อทราย ขึ้นที่นั่น เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๗
 
 
 
แต่ในช่วงเวลาเพียง ๓๐ กว่าปี พื้นที่ห้วยทรายได้ถูกราษฎรเข้าบุกรุกทำลายป่า ปราบพื้นที่เพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรมจนไม่เหลือป่าไม้และสัตว์ป่าจึงเกิดความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล และสภาพพื้นดินเสื่อมโทรม ทำการเกษตรกรรมไม่ได้ผล
เมื่อวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรพื้นที่ ห้วยทราย มีพระราชดำรัสด้วยน้ำพระราชหฤทัยห่วงใยว่า "หากปล่อยทิ้งไว้ จะกลายเป็นทะเลทรายในที่สุด"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริให้พัฒนาพื้นที่บริเวณห้วยทราย เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาด้านป่าไม้อเนกประสงค์
ถ้าขับรถจากกรุงเทพฯ ไปตามถนนเพชรเกษม ประมาณ ๒๒๐ กิโลเมตร จะพบที่ตั้ง โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อันเนื่องมาจากพระราชดำริอยู่ห่างจากชะอำไปางทิศใต้ประมาณ ๑๕ กิโลเมตร จัดเป็นพื้นที่ดำเนินงานตามโครงการ ๑๕,๘๘๒ ไร่ มีสำนักงานโครงการตั้งอยู่ที่กองกำกับการ 1 กองบังคับการฝึกพิเศษ (ค่ายพระรามหก) และมีศูนย์สาขาคือ โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
 
การดำเนินงานสนองพระราชดำริในการพัฒนาและฟื้นฟู "ห้วยทราย" นี้ มีหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมงานจำนวนมาก เช่น กรมที่ดิน กรมพัฒนาชุมชน กรมป่าไม้ กรมชลประทาน กรมประมง กรมพัฒนาที่ดิน กรมปศุสัตว์ ฯลฯ กำหนดแผนงานเป็น ๓ แผน คือ
 
แผนงานการฟื้นฟูระบบนิเวศน์วิทยาของห้วยทราย และพื้นที่ใกล้เคียง โดยยึดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้สมดุลย์กับทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ และสามารถฟื้นฟูให้มีศักยภาพในการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ได้แก่
ระบบนิเวศน์ป่าต้นน้ำ ฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ให้คืนสภาพป่าต้นน้ำลำธาร
ระบบนิเวศน์พื้นราบ ฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งเกษตรกรรมระบบวนเกษตร
ระบบนิเวศน์ชายฝั่งทะเล ฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ให้คืนสภาพป่าบกและป่าชายเลน
แผนการศึกษาทดลอง ทำการทดลองศึกษาและวิจัย เพื่อให้ได้รูปแบบและวิธีการที่เหมาะสมในการประกอบอาชีพต่าง ๆ โดยยึดหลักการที่ว่า ราษฎรอยู่รอดและธรรมชาติก็อยู่รอดด้วย มีการทดลองอนุรักษ์ดินและน้ำ พันธุ์พืช สัตว์ และปล่อยสัตว์คืนสู่ชีวิตธรรมชาติ ศึกษาหารูปแบบในการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม เช่น เลี้ยงกบ การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร นำออกเผยแพร่เป็นแบบอย่างแก่ราษฎร
แผนงานการพัฒนาช่วยเหลือประชาชน เป็นการสนองพระราชดำริที่จะทรงขจัดความยากจน ความทุกข์ลำเค็ญของราษฎรในพื้นที่โครงการ มีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม พัฒนาอาชีพการเกษตร ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพอุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น งานจักสาน เจียระไนอัญมณี พัฒนาด้านสุขภาพอนามัย การวางแผนครอบครัว การตั้งศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ฯลฯ รวมทั้งพัฒนาพื้นที่ทำการเกษตรของราษฎรให้คืนสู่สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ
การศึกษาวิจัยและการแสดงของศูนย์ เพื่อนำความรู้ออกเผยแพร่สู่ประชาชน มุ่งเน้นการฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรม สร้างแนวป้องกันไฟป่า โดยใช้ระบบป่าเปียก เช่น สร้างแนวคูคลอง และพืชเศรษฐกิจสีเขียว มุ่งเน้นให้ราษฎรเข้ามามีส่วนร่วมในการปรับปรุงและอนุรักษ์ป่า และสร้างรายได้จากผลิตผลป่าไม้ พร้อมกับเพาะปลูกพืชเกษตรกรรมที่เหมาะสมควบคู่ไปด้วย
กิจกรรมที่น่าสนใจของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ คือ งานพัฒนาป่าไม้ ปลูกป่า ๓ อย่าง ได้แก่ ไม้โตเร็ว ไม้ผล และไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ สร้างสมดุลทางธรรมชาติของป่าให้คืนสู่สภาพเดิม
การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่าหลายชนิด โดยเฉพาะเนื้อทราย แล้วปล่อยเข้าสู่ป่า เร่งสมดุลทางธรรมชาติ
การปลูกหญ้าแฝก เพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ ปลูกหญ้าแฝกรอบอ่างเก็บน้ำเพื่อป้องกันสารพิษ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชปณิธานที่จะให้พื้นที่ "ห้วยทราย" ที่เคยแห้งแล้ง กลับคืนสู่ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ดุจดั่ง "มฤคทายวัน" ในกาลก่อนเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิเวศน์มฤคทายวันขึ้น เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๗ ซึ่ง "ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ" จะเป็นแหล่งธรรมชาติ อำนวยประโยชน์แก่ประชาชนทั้งในชุมชนเมือง และในชนบทอย่างแท้จริงต่อไป
 
ที่ตั้งโครงการ
ตั้งอยู่ที่ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี บนถนนเพชรเกษม ห่างจากชะอำมาทางทิศใต้ประมาณ ๑๕ กิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพฯ ตามเส้นทางถนนสายเพชรเกษมประมาณ ๒๒๐ กิโลเมตร มีพื้นที่ดำเนินการของโครงการรวมทั้งสิ้น ๑๕,๘๘๒ ไร่ โทร (๐๓๒) ๔๗๑๑๑๐ โทรสาร (๐๓๒) ๔๗๑๑๓๐
 
 

 

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา


ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา



         พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในอันที่จะทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขของพสกนิกร ได้แผ่ไพศาลไปทั่วทุกภูมิภาคในแผ่นดินไทย ห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร บนฝั่งขวาของทางหลวงแผ่นดินสาย ๓๐๔ ที่ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นที่ตั้ง "ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน" อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งเป็นเสมือน "พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต" หนึ่งในศูนย์การศึกษาการพัฒนา ๖ แห่ง ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
 
 
 แต่ดั้งเดิมมา พื้นที่หลายหมื่นไร่ของอำเภอพนมสารคามเป็นป่าดงดิบ มีเขาหินตามธรรมชาติก้อนใหญ่ก้อนเล็กระเกะระกะอยู่ทั่วไป จึงมีชื่อว่า "เขาหินซ้อน" และเคยเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย เพียงชั่วระยะเวลา ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมา มีการสร้างถนนทางหลวงแผ่นดินสาย ๓๐๔ พนมสารคาม - กบินทร์บุรี ได้มีการระเบิดหินไปทำถนน และเปิดทางนำผู้คนเข้าสู่พื้นที่โดยสะดวก ป่าดงดิบเขาหินซ้อนจึงถูกน้ำมือมนุษย์โค่นทำลายลงเป็นที่ดินทำกิน และต่อมาก็ถูกทอดทิ้งให้เป็นแผ่นดินเสื่อมโทรมรกร้าง
 
ด้วยเดชะพระบารมี เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิด พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ เขาหินซ้อน ได้เสด็จไปทอดพระเนตรที่ดินที่มีผู้น้อมเกล้าฯ ถวาย แล้วได้พระราชทานพระราชดำริให้ก่อตั้ง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน ให้เป็น ศูนย์ตัวอย่างรวมการพัฒนาด้านเกษตรกรรมที่สมบูรณ์แบบ เช่น การพัฒนาชุมชน ฟื้นฟูป่าไม้ พัฒนาแหล่งน้ำ การเลี้ยงปศุสัตว์ การประมง งานส่งเสริมการเกษตร การชลประทาน สาธารณสุข การเลี้ยงปศุสัตว์ การประมง งานส่งเสริมการเกษตร การชลประทาน สาธารณสุข ตั้งวิทยาลัยเกษตรกรรม ส่งเสริมศิลปาชีพหัตถกรรมพื้นบ้านเพิ่มพูนรายได้ รวมทั้งพัฒนาพื้นที่รอบนอกศูนย์ บริเวณลุ่มน้ำโจนให้เจริญขึ้น สำหรับเป็นแบบอย่างการพัฒนาให้ขยายออกไปสู่พื้นที่ตำบลอื่น ๆ
 
 
 
         ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนนี้
มีศูนย์สาขาประกอบด้วย
ศูนย์บริการบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี
โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณเขาชะโงก จังหวัดนครนายก
กิจกรรมของศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนมีหลากหลาย เช่น การศึกษาทดสอบเรื่องการปรับปรุงดินด้วยวิธีต่าง ๆ เป็นต้นว่า การใช้ปุ๋ยพืชสด การปลูกพืชตระกูลถั่วเป็นพืชแซม การใช้ปุ๋ยน้ำ การผลิตปุ๋ยหมักใช้เอง การปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ
การใช้วิธีธรรมชาติในการป้องกันศัตรูพืช เช่น การใช้สารสะเดาเป็นสารสกัดฉีดไล่แมลง การใช้พืชต้านทานโลก
การเลี้ยงสัตว์ การประมง และอื่น ๆ อีกมาก ฯลฯ
นับตั้งแต่ก่อตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนขึ้นตามพระราชดำริจนถึงปัจจุบัน ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยพระปรีชาสามารถ และด้วยพระวิรยะอุตสาหะ พื้นที่ ๑,๘๖๙ ไร่ ของศูนย์ได้รับการพัฒนา จัดเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้เป็นหมวดหมู่ เช่น สวนพฤกษศาสตร์ สวนสมุนไพร สวนผลไม้ ศูนย์เพาะชำกล้าไม้ สวนพืชล้มลุก ป่าเสื่อมโทรมก็กลับคืนสภาพเป็นป่าไม้ มีธรรมชาติอันงดงามร่มเย็น และที่สำคัญอย่างยิ่งคือเกษตรกรได้ใช้เป็นแหล่งศึกษา นำความรู้ไปเป็นประโยชน์ในการประกอบอาชีพ เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่ละปีมีผู้เข้าชมโครงการไม่น้อยกว่า ๒๐,๐๐๐ คน
 
 
ที่ตั้งโครงการ
        ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร หรือออกจากอำเภอพนมสารคามไป ๑๕ กิโลเมตร ตั้งอยู่ฝั่งขวาของถนนสายฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี ทางหลวงแผ่นดินสาย ๓๐๔ มีพื้นที่ดำเนินการ ๑,๘๖๙ ไร่ โทร. (๐๓๘) ๕๙๙๑๐๕-๖ โทรสาร (๐๓๘) ๕๙๙๑๐๖
 
 

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดําริ
 
 
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา








 
 
 
 
                                        จังหวัดฉะเชิงเทรา 

 
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  จังหวัดเพชรบุรี
 
                                                           ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
                                                       จังหวัดเพชรบุรี
 
 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี

          ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
                                                   จังหวัดจันทบุรี

  
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร












                                                                         ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
                                                                                                       จังหวัดสกลนคร


ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่










                        ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
                                                          จังหวัดเชียงใหม่

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  จังหวัดนราธิวาส<wbr>









                                                      ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
                                                             จังหวัดนราธิวาส


              ปัจจุบันศูนย์ศึกษาฯ มีผลการศึกษาที่ประสบความสำเร็จแล้วในหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านการปลูกพืชหลายๆ ชนิดในสภาพพื้นที่ต่างๆ การเลี้ยงสัตว์ที่ถูกวิธี การประมง ฯลฯ โดยได้มีการสาธิตไว้ในลักษณะของ "พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต" ซึ่งวิธีการเหล่านี้เป็นวิธีการที่ง่ายๆ เกษตรกรสามารถนำไปเป็นความรู้ในการประกอบอาชีพได้ ดังนั้น ประชาชนทุกหมู่เหล่าสามารถเข้าไปศึกษาหาความรู้ที่ศูนย์ศึกษาฯ ใกล้บ้านได้อย่างครบถ้วน หรือจะขอไปเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรต่างๆ ได้เช่นกันสำนักงาน กปร. และศูนย์ศึกษาฯ พร้อมที่จะให้บริการกับทุกท่าน ทั้งนี้ เพื่อจะได้นำความรู้จากศูนย์ศึกษาฯ ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง สมดังพระราชปณิธานแห่งองค์ "พระมหากษัตริย์นักพัฒนาผู้ยิ่งใหญ่"

การที่เกษตรกรจะสามารถทำการเพาะปลูกให้ได้ผลผลิตมากขึ้นและสามารถเลี้ยงตัวเองได้นั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ในการทำการเกษตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความรู้ในเรื่องการทำการเกษตรอย่างมีหลักวิชาและใช้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ราษฎมีความสามารถในการผลิตเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ความรู้ในเรื่องการปรับปรุงบำรุงดิน การรักษาป่าไม้เพื่อให้เกิดความชุ่มชื้นกับดิน ตลอดจนการปลูกพืชที่เหมาะสม การประมง หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพของราษฎรในท้องถิ่น จึงเป็นเรื่องที่ควรต้องส่งเสริมให้เกษตรกรมีความรู้ ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงเน้นถึงความจำเป็นที่จะต้องมี "ตัวอย่างของความสำเร็จ"เผยแพร่ความรู้การทำการเกษตรอย่างมีหลักวิชา ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ไปสู่เกษตรกรด้วยวิธีการที่เข้าใจได้ง่าย และสามารถนำไปปฏิบัติที่เป็นจริงได้ จึงพระราชทานพระราชดำริให้ดำเนินการจัดตั้ง "ศูนย์ศึกษาการพัฒนา" ขึ้นในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์รวมของการศึกษาค้นคว้าในด้านการพัฒนาแขนงต่าง ๆ เฉพาะภูมิภาคเฉพาะท้องถิ่น และเป็นศูนย์รวมของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทุกด้านได้มาร่วมกันเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ราษฎรในการทำการเกษตรอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาแต่ละศูนย์นั้น ได้ดำเนินการศึกษาข้อมูลพื้นฐานของพื้นที่นั้น ๆ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมและสภาพปัญหาของการพัฒนา แล้วดำเนินการพัฒนาตลอดจนการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมเฉพาะพื้นที่ และสอดคล้องกับการประกอบอาชีพของราษฎรในพื้นที่นั้น ๆ ผลจากการทดลองวิจัยนี้ได้นำไปเผยแพร่สู่ราษฎรด้วยวิธีปฏิบัติที่ง่าย ราษฎรสามารถนำไปปฏิบัติเองได้ โดยจัดให้มีการสาธิตและอบรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงกล่าวได้ว่าศูนย์ศึกษาการพัฒนาเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมเพื่อให้ราษฎรในท้องถิ่นต่าง ๆ สามารถพัฒนาอาชีพการเกษตรของตนเองให้มีประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิตมากขึ้นจนสามารถเลี้ยงตัวเอง ได้ในระยะยาว

ในปัจจุบันมีศูนย์ศึกษาการพัฒนา ๖ ศูนย์ กระจายอยู่ตามภาคต่าง ๆ ดังนี้

๑. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา ดำเนินการค้นคว้า ทดลองและสาธิตเกี่ยวกับการพัฒนาที่ทำกินของราษฎรให้มีความอุดมสมบูรณ์ โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของพืชหลายชนิด

๒. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี ดำเนินการศึกษาแนวทางและวิธีการที่จะพัฒนาฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรม โดยหาวิธีการที่จะให้เกษตรกรมีส่วนในการปลูก ปรับปรุงและรักษาสภาพป่าพร้อม ๆ กับมีรายได้และผลประโยชน์จากป่าด้วย

๓. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี ดำเนินการศึกษาและค้นคว้าเพื่อพัฒนาปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านประมงชายฝั่ง เพื่อให้เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิต ซึ่งจะสามารถเลี้ยงตัวเองได้

๔. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร ดำเนินการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของภาคตะวันออกเฉียง เหนือ โดยเน้นการปรับปรุงบำรุงดิน การเร่งรัดพัฒนาป่าไม้โดยอาศัยระบบชลประทานและการปลูกพืชเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อการเพิ่มรายได้ของเกษตรกร

๕. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ ดำเนินการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับรูปแบบที่เหมาะสมของการพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำลำธาร เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ รวมทั้งรูปแบบการพัฒนาต่าง ๆ ที่ทำให้เกษตรกรสามารถพึ่งตนเองได้โดยไม่ทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ

๖. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส ดำเนินการศึกษาวิจัยดินพรุที่มีอยู่อย่างกว้างขวางในภาคใต้ ให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรมให้ได้มากที่สุด

ในด้านการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเน้นในเรื่องการค้นคว้าทดลอง และวิจัยพืชชนิดต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ทั้งพืชเศรษฐกิจ เช่น หม่อนไหม ยางพารา ฯลฯ พืชเพื่อการปรับปรุงบำรุงดินและพืชสมุนไพร ตลอดจนการศึกษาเกี่ยวกับแมลงศัตรูพืชหรือพันธุ์สัตว์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมเพื่อแนะนะให้เกษตรกรนำไปปฏิบัติได้ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงเน้นการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติให้มากที่สุด เป็นการลดค่าใช้จ่ายของเกษตรกร อาทิทรงสนับสนุนให้เกษตรใช้โคและกระบือเป็นแรงงานในการทำไร่ทำนามากกว่าการใช้เครื่องจักร การปลูกพืชหมุนเวียนโดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว เป็นการลดค่าใช้จ่ายเรื่องปุ๋ย หากในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีซึ่งมีราคาแพงและมีผลกระทบต่อสภาพและคุณภาพของดินในระยะยาว และทรงแนะนำเกษตรกรในเรื่องการผลิตก๊าซชีวภาพ ซึ่งมีผลดีทั้งในด้านเชื้อเพลิงและปุ๋ย

การค้นคว้าทดลองด้านการเกษตรที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและปัจจัยด้านการเกษตรที่มีอยู่ในประเทศ นำมาใช้อย่างประหยัดและให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น จะเห็นได้จากโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินการค้นคว้าทดลองโครงการต่าง ๆ เป็นการส่วนพระองค์มาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2505 แต่ละโครงการนั้นได้ใช้เทคโนโลยีทางด้านวิทยาศาสตร์มาช่วยในการศึกษาค้นคว้าและทดลอง ด้วยขั้นตอนการผลิตที่ไม่ยากนัก เพื่อเผยแพร่หรือแนะนำให้ราษฎรสามารถนำไปปฏิบัติเองได้ เป็นการเสริมสร้างอาชีพด้านการเกษตร เช่น โครงการเกี่ยวกับปลาหมอเทศ ปลานิล นาข้าวทดลอง ข้าวไร่ การผลิตก๊าซชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ โรงโคนม พันธุ์โคนม ศูนย์รวมนม เนยแข็ง น้ำผลไม้ โครงการขจัดน้ำเสียโดยปลูกผักตบชวา สวนพืชสมุนไพร โครงการหวาย เป็นต้น


ที่มา : http://web.ku.ac.th/king72/center/center.htm
        : http://www.rdpb.go.th/rdpb/front/StudyCenter/RDPBAboutStudyCenter.aspx?p=58